การทำดีท็อกลําไส้ เป็นการเอาสารพิษออกจากร่างกายส่วนการสวนล้างลำไส้คือเป็นวิธีการหนึ่งของแพทย์แผนโบราณที่ใช้รักษาโรคหรือการเจ็บป่วยอะไรก็ตามการเอาน้ำใส่เข้าไปในลำไส้แล้วล้างเอาอุจจาระออกมาคนมีความเชื่อว่าการสวนล้างลำไส้เป็นวิธีการหนึ่งที่จะเอาสารพิษออกจากร่างกาย จึงใช้คำสองคำนี้ใช้ปะปนกันว่า เป็นการสวนล้างลำไส้การดีท็อกซ์นั้นสามารถทำได้หลายวิธีการสวนล้างลำไส้ (Colon cleanse, Colonic irrigation หรือ Colonic detoxification) ซึ่งเป็นวิธีดีท็อกซ์ยอดนิยมวิธีการก็คือใช้อุปกรณ์ใส่น้ำหรือสารบางอย่าง เช่น น้ำเกลือ (NSS) บีบสวนเข้าทางทวารหนักเพื่อให้น้ำเข้าไปกวาดเอาสิ่งสกปรก แล้วขับออกมาทางอุจจาระ (ลักษณะคล้ายการเร่งถ่าย)
ประโยชน์สำหรับการทำดีท็อกซ์
การดีท็อกซ์ด้วยการสวนล้างลำไส้ มีประโยชน์ที่อาจเป็นไปได้ดังนี้
- การดีท็อกซ์ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก อุจจาระไม่ออก
- การดีท็อกซ์ช่วยบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome) ท้องผูกสลับกับท้องเสีย
- การดีท็อกซ์อาจมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลงชั่วคราว เพราะถ่ายของเสียออกมา
- การดีท็อกซ์อาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ เพราะของเสียที่ตกค้างเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งได้
- การดีท็อกซ์อาจมีส่วนช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น เนื่องจากลำไส้ดูดซึมได้ดีขึ้น รู้สึกมีพลังงานมากขึ้น
แต่ก่อนจะตัดสินใจ! ประโยชน์จากการดีท็อกซ์ด้วยการสวนลำไส้นี้ยังคงไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันได้ชัดเจน การดีท็อกซ์ด้วยการสวนลำไส้จึงเป็นการรักษาแบบทางเลือกเท่านั้นนั่นหมายความว่าควรขอคำแนะนำจากแพทย์ หรือต้องทำโดยมีบุคลากรทางการแพทย์ เช่น หมอ พยาบาล คอยกำกับดูแล
ข้อควรระวังในสำหรับการดีท็อกซ์ลำไส้นั้นต้องระวังอะไรบ้าง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า การดีท็อกซ์สวนลำไส้นั้นควรทำโดยบุคลากรทางการแพทย์ หรือได้รับการอนุมัติจากบุคลากรทางการแพทย์ เพราะหากซื้ออุปกรณ์มาทำด้วยตัวเอง อาจเกิดปัญหา ดังนี้
- ร่างกายขาดน้ำ หลายคนสวนลำไส้เพราะต้องการลดน้ำหนักด้วยความรวดเร็ว ทำให้ของเหลวออกจากร่างกายมากเกินไป อาจเกิดภาวะขาดน้ำได้
- ทำไม่ระวังลำไส้ทะลุได้ หากใช้น้ำปริมาณมากเกินไปหรือใช้อุปกรณ์ผิดวิธี อาจทำให้ลำไส้โป่งจนแตกจากแรงดันที่มากเกินไปได้
- อาจเกิดการติดเชื้อ การหาซื้อของเหลวสารมาสวนล้างด้วยตัวเอง เช่น กาแฟ หรือน้ำเปล่าก็ตาม อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ นอกจากนี้ยังอาจล้างเอาแบคทีเรียบางชนิดที่มีประโยชน์ต่อลำไส้ออกมาอีกด้วย
- เกลือแร่เสียสมดุล อย่างที่หลายคนทราบว่าลำไส้อวัยวะที่ดูดซึมน้ำและสารอาหาร ดังนั้นเมื่อทำการสวนล้างลำไส้จึงเกิดการแลกเปลี่ยนของเหลวในร่างกายและของเหลวที่สวนเข้าไป หากใช้ส่วนผสมที่เข้มข้นไป อาจทำให้เกลือแร่ในร่างกายเสียสมดุลได้
จะเห็นได้ว่าการดีท็อกซ์ด้วยการสวนล้างลำไส้นั้นต้องอาศัยความชำนาญไม่น้อยเลย ดังนั้นหากมีความต้องการจะสวนล้างลำไส้จริงๆ ควรทำที่โรงพยาบาล
การทำดีท็อกซ์ควรที่จะทำหรือไม่อย่างไร
การทำดีท็อกซ์ หากจำเป็นต้องทำจะต้องมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ โดยแพทย์จะเป็นผู้ตรวจและวินิจฉัยว่าเห็นสมควร หากปกติหรือมีอาการปวดท้องหรือป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่แนะนำให้ทำเพราะไม่มีประโยชน์ ถือเป็นการทำระยะสั้น ๆ ซึ่งถ้าทำแล้วก็จะต้องทำบ่อย ๆ และจะต้องทำไปตลอดเมื่อมีอาการ
การทำดีท็อกซ์เป็นกรรมวิธีทางการแพทย์ จะต้องทำโดยแพทย์หรือพยาบาล เป็นการเอาน้ำใส่เข้าไปทางลำไส้ใหญ่ แล้วบีบไล่น้ำขึ้นไป การไล่น้ำขึ้นไปบางครั้งต้องใช้แรงดัน ฉะนั้นเมื่อน้ำที่เข้าไปก็มีการแลกเปลี่ยน มีการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ฉะนั้นหากทำไม่ถูกวิธีหรือใส่น้ำที่มีความเข้มข้นไม่ถูกต้องก็อาจจะทำให้เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ หรืออาจทำให้มีโซเดียมสูงหรือต่ำเกินไปในกระแสเลือดได้ หรือการใส่ปริมาณน้ำที่มากเกินไปจะทำให้ลำไส้มีการโป่งมากขึ้น
ลำไส้บางคนที่มีโรคอยู่แล้วและไม่ได้รับการตรวจมาก่อนอาจทำให้ลำไส้แตกหรือทะลุ และอาจมีโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ เพระบางคนอาจมีโรคลำไส้โป่งพองแล้วไปทำอาจเกิดอันตรายได้ เพราะฉะนั้นการทำควรอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญ ไม่ควรจะทำเอง หากทำกันเองโดยขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ย่อมมีผลเสียต่อร่างกายแน่นอน
การรับประทานอาหารจะมีผลต่อร่างกายในเรื่องของการขับถ่ายหรือไม่
การที่จะให้ขับถ่ายออกมานั้น นอกจากการทำดีท็อกซ์แล้ว อาหารที่เรารับประทานทุกวันก็มีผลเหมือนกัน อย่างเช่น อาหารพวกชีวจิต ที่เชื่อว่าทำให้ร่างกายขับถ่ายได้ดีขึ้น หรืออาหารจำพวกที่เผาผลาญพลังงานได้ดีและจำพวกผักต่าง ๆ ที่ช่วยดูดซับสารพิษเหล่านี้
หลักการต่าง ๆ เหล่านี้ ก็เป็นความเชื่อทั้งสิ้น แต่หลักการทางการแพทย์เชื่อว่าการรับประทานอาหารให้ครบหมู่ จะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากกว่าที่จะมุ่งเน้นในด้านใดด้านหนึ่ง เพราะจะทำให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้ไม่สมบูรณ์ หรือวิธีการง่าย ๆ คือเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในปัจจุบันหลาย ๆ แห่งใช้วิธีสวนล้างลำไส้
มุ่งเน้นไปทางการค้าค่อนข้างมาก และอาจมีการชักชวนที่มากกว่าความเป็นจริง หากเป็นเช่นนั้น เราควรใช้วิจารณญาณไตร่ตรองดูว่าการทำเหล่านี้มีประโยชน์และเป็นจริงตามคำโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ การทำต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ไม่แนะนำให้ทำ ถ้าจำเป็นจริงๆ ควรทำเป็นครั้งคราวมากกว่า